วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ครั้งที่ 13 09/30/2010

วันนี้อาจารย์ ให้ทำแบบประเมินอาจารย์ อาจารย์พบปะพูดคุยเรื่องการตรวจบล็อก นัดวันตรวจบล็อก และสั่งงาน อาจารย์ให้ทำป้ายนิเทศอะไรก็ได้ตามอิสระโดยใช้กระดาษลังและต้องบอกว่าเป็นหน่วยการสอนของอะไร แต่ดิฉันทำเป็นสนามบาส เป็นหน่วยกีฬา

ครั้งที่ 12 09/23/2010

วันนี้อาจารย์ได้ให้นักศึกษาทำแป้งโดว์และเมื่อทำแป้งโดว์เสร็จทุกคนก็ได้ช่วยกันเก็บของทำความสะอาด




ครั้งที่ 11 09/16/2010

วันนี้อาจารย์ให้นำอุปกรณ์มาทำแป้งโดว์มีส่วนประกอบดังนี้
เกลือ 1/2 ถ้วย
แป้งสาลี 1 ถ้วย
สารส้มป่น 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำ 1 ถ้วย
ทาทาครีม 1 ช้อนโต๊ะ หรือใช้น้ำมันมะกอกแทนก็ได้
สีผสมอาหาร

วิธีทำ

นำเกลือ แป้งสาลี สารส้มป่น ผสมให้เข้ากัน จากนั้นค่อยเติมน้ำและน้ำมัน ทีละน้อยให้เข้ากันดี ใส่สีผสมอาหาร นำขึ้นตั้งไฟกวนจนแป้งไม่ติดภาชนะ แล้วยกลงนำมานวด แล้วเก็บในภาชนะให้มิดชิด (ไม่ต้องแช่เย็น)


ครั้งที่ 10 09/9/2010

อาจารย์ได้นัดส่งงาน pop up สามชิ้น   ที่ทำมาและหลังจากนั้นก็ได้สอบนักศึกษาการที่นักศึกษาได้ทำข้อสอบนี้ทำให้เราได้เกิดกระบวนการคิดในสิ่งที่เราได้ทำมาและเกิดทักษะ



ครั้งที่ 9 09/2/2010

อาจรย์ให้นักศึกษากลุ่ม101กับ102มาเรียนรวมกันเพื่อที่จะพูดเกี่ยวกับงานที่อาจารย์ได้สั่งไปและตรวจงานหลังจากนั้นอาจารย์ก็ได้ให้นักศึกษาไปยู่บนห้องเรียนเพื่อที่จะให้นักศึกษาได้ศึกษาดูสื่อเกมการศึกษาที่อาจารย์ได้นำมาให้ในวันนี้จากนั้นก็ได้บอกวิธีการเล่นสื่อเกมการศึกษาแต่ล่ะอย่างให้ฟัง




จากนั้นอาจารย์ก็ได้ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่มกันเล่นสื่อที่จารย์ได้เครียมมาให้เล่นและให้แต่ล่ะกลุ่มมาเอาเกมของแต่ล่ะกลุ่มไปและลงมือเล่นได้และหลังจากที่ได้เล่นเกมเสร็จแล้วอาจารย์ก็ได้ตรวจงานของแต่ล่ะคนส่วนคนไหนที่งานไม่ครบก็ให้เขียนชื่อไว้และในมาส่งในคาบหน้า

ครั้งที่ 8 08/19/2010

อาจารย์เข้ามาพูดเรื่องการทำสื่อเมื่อวันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมาและเซ็คซื้อคนที่ไม่ได้มาในวันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา อาจารย์ดูงานเรื่องสื่อที่อาจารย์ได้ให้ไปทำมาส่งจากนั้นก็พูดถึงการฝึกทำสื่อเพิ่มเต็ม เช่น การทำป๊อบอัพ ภาพเลื่อน หัวสัตว์ จากนั้นก็พูดเรื่องการทำ(เกมการศึกษา)ของแต่ล่ะคนเพิ่มเติม

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ครั้งที่ 7 07/29/2010

วันนี้อาจารย์ได้ให้อ่านชีทเกี่ยวกับเกมการศึกษาและอาจารย์ได้ออกไปทำธุระ เมื่ออาจารย์กลับมาถึงห้องเรียนก็ได้อธิบายเกี่ยวกับเกมการศึกษาวิธีการเล่นความเหมาะสมระหว่างเด็กกับเกมการศึกษาว่าเกมนี้จะช่วยพัฒนาเด็กได้ในทางด้านใดบ้างและได้สั่งงานให้คิดเกมการศึกษามาคนละหนึ่งเกม ห้ามซ้ำกับตัวอย่างเกมในชีทและได้พูดถึงการไปทัศนศึกษาที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี วันที่ 17-18 สิงหาคม 2553

เกมการศึกษานี้ชื่อว่าเกมจับภาพโครงร่างของผลไม้

เนื้อหาของเกม
  • เกมจับภาพโครงร่างของผลไม้เป็นเกมที่สอนให้เด็กรู้จักรูปทรงของผลไม้รู้จักสังเกตเปรียบเทียบจำแนกความเหมือนของรูปภาพและความแตกต่างของรูปภาพทำให้เด็กได้ฝึกประสาทสัมพันธ์ระหว่างประสาทตาและกล้ามเนื้อมือ
จดมุ่งหมาย
  • เพื่อพัฒนาสติปัญญาของเด็กทำให้เด็กรู้จักการสังเกตจำแนกสิ่งของฝึกการตัดสินใจและรู้จักการใช้เหตุผลการแก้ปัญหาการเข้าร่วมสังคมกับกลุ่มเพื่อนรู้จักการแบ่งปันกันเพราะเกมเกมนี้สามารถเล่นกันได้หลายคนเพื่อให้เด็กช่วยกันคิด
วิธีการเล่น

  • ให้จับคู่โครงร่างของผลไม้ที่คล้ายคลึงกัน


วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ครั้งที่ 6 07/22/2010

เกมการศึกษา

ความสำคัญ
  • ทำให้ที่เป็นสิ่งนามธรรมให้เป็นรูปธรรม
  • ได้รับประสบการณ์ตรงจำได้นาน
  • รวดเร็ว,เพลิดเพลิน,เข้าใจง่าย
ลักษณะของสื่อที่ดี
  • ต้องมีความปลอดภัย
  • ประโยชน์ที่เด็กได้รับเหมาะสมกับความสามารถของเด็กความสนใจ
  • ประหยัด
  • ประสิทธิภาพ
หลักการเลือกสื่อฯ
  • คุณภาพดี
  • เด็กเข้าใจง่าย
  • เลือกให้เหมาะสมกับสภาพของศูนย์
  • เหมาะสมกับวัย
  • เหมาะสมกับเวลาที่ใช้
  • เด็กได้มีส่วนร่วมในกิจกรรม
  • ถูกต้องตามเนื้อหา,ทันสมัย
  • เด็กได้คิดเป็นทำเป็นกล้าแสดงออก
การประเมินใช้สื่อ
  • สื่อทำให้เด็กเกิดความรู้เพียงใด
  • เด็กชอบสื่อนั้นเพียงใด
  • สื่อช่วยสอนให้ตรงจุดประสงค์
หุ่นไม้ไอศกรีม
  • ระบายสีที่รูปภาพ
  • ตัดรูปที่ระบายสีแล้วติดลงกระดาษแข็ง
  • ตัดกระดาษแข็งให้เรียบร้อย
  • ติดตัวตุ๊กตาที่ไม้ไอศกรีม
  • เสร็จสมบูรณ์
การบ้าน
  1. ดูเกมส์การศึกษาว่ามีเกมส์อะไรบ้างมีความหมายว่าอะไร

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ครั้งที่ 5 07/15/2010





นำเสนอสื่อ

          วันนี้ได้นำเสนอสื่อคือ ชนิดของผลไม้หรือผลไม้จำลอง

     สื่อชนิดนี้เป็นสื่อประสบการณ์รองคือการจำลองชนิดของผลไม้ทำให้เด็กรู้จักได้ง่ายและสามารถเก็บไว้ได้นานโดยที่ไม่ต้องนำผลไม่จริงมาสอนเพราะอาจจะเก็บไว้ได้ไม่นาน สื่อชนิดนี้เหมาะสำหรับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป เด็ก 2 ขวบก็สามารถเล่นได้แต่อาจจะอันตรายต่อเด็กเพราะสีที่ผลไม้จำลอง

      สื่อชนิดนี้อยู่ได้หลายมุม อาทิ มุมเสรี มุมบทบาทสมมติ มุมคณิตศาสตร์ เช่นอยู่ในมุมครัว มุมขายผลไม้ทำให้เด็กรู้จักการขาย การคิดเงิน มุมร้านอาหารที่มีแต่ผลไม้ มุมคณิตศาสตร์ทำให้เด็กรู้จักรูปทรงผลไม้ได้แยกแยะชนิดของผลไม้รูปทรงของผลไม้ รู้จักสีของผลไม้ ได้นับจำนวนผลไม้หรือช่วยส่งเสริมทางด้านภาษาทำให้เด็กได้รู้ว่าผลไม้นี้ชนิดอะไร






วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ครั้งที่ 4 07/08/2010







การแบ่งประเภทสื่อประกอบด้วย


1.ประสบการณ์ตรง
   เป็นประสบการณ์ที่ให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์โดยตรงจากของจริงสถานการณ์จริงหรือด้วยการกระทำของ
ตนเอง เช่นการจับต้องและการเห็นเป็นต้น


2.ประสบการณ์รอง
     เป็นการเรียนจากสิ่งใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุดซึ่งอาจเป็นของจำลองหรือสถานการณ์จำลองก็ได้


3.ประสบการณ์นาฎการหรือการแสดง
   เป็นการแสดงบทบาทสมมติหรือการแสดงละครเพื่อเป็นการจัดประสบการณ์ให้แกผู้เรียน


4.การสาธิต
   เป็นการกระทำประกอบคำอธิบายเพื่อให้เห็นลำดับขั้นตอนของการกระทำนั้นๆ


5.การศึกษานอกสถานที่
   เป็นการให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ต่างๆภายนอกห้องเรียนอาจเป็นการท่องเที่ยวเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ


6.นิทรรศการ
   เป็นการจัดการแสดงสิ่งของต่างๆเพื่อให้สาระประโยชน์และความรู้แก่ผู้ชม


7.โทรทัศน์
   เป็นสื่อการเรียนการสอนเพื่อให้ข้อมูลความรู้แก่ผู้เรียนหรือผู้ชมที่อยู่ในห้องเรียนหรืออยู่ทางบ้านและใช้ส่งได้ทั้งระบบวงจรเปิดและวงจรปิดการสอนอาจเป็นการสอนสดหรือบันทึกวิดีโอ


8.ภาพยนตร์
   เป็นภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกเรื่องราวเหตุการณ์บันทึกลงฟิล์มเพื่อให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์ทั้งภาพและเสียงโดยใช้ประสาทตาและหู


9.การบันทึกเสียง วิทยุ ภาพนิ่ง
   เป็นได้ทั้งรูปของแผ่นเสียงหรือเทปบันทึกเสียง


10.ทัศนสัญลักษณ์
   เช่นแผนที่ แผนสถิติหรือเครื่องหมายต่างๆแทนความเป็นจริงของต่างๆ


11.วจรสัญลักษณ์
   เป็นประสบการณ์ที่เป็นนามธรรมเช่นตัวหนังสือในภาษาเขียนและเสียงของคำพูดในภาษาพูด

ตามแนวคิดของบรูเนอร์ ( Jerome s. Bruner )
  • กลุ่มการกระทำ ( Enactive )
  • กลุ่มภาพ ( Iconic )
  • กลุ่มนามธรรม ( Abstracs )





สรุปหลักการในการเลือกสื่อการสอน
  1. เลือกสื่อการสอนที่เพื่อสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้
  2. เลือกสื่อการสอนที่ตรงลักษณะของเนื้อหาของบทเรียน
  3. เลือกสื่อการสอนให้เหมาะสมกับลักษณะของผู้เรียน
  4. เลือกสื่อการสอนให้เหมาะสมกับจำนวนของผู้เรียนและกิจกรรมการสอน
  5. เลือกสื่อการสอนที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
  6. เลือกสื่อการสอนที่มีลักษณะน่าสนใจและดึงดูดความน่าสนใจ
  7. เลือกสื่อการสอนที่มีวิธีการใช้งานเก็บรักษาและบำรุงรักษาได้สะดวก

วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ครั้งที่3 07/01/2010


อาจารย์ได้พูดถึงสื่อการเรียนการสอนการติดต่อให้ถึงกันชักนำให้รู้จักกันหรือติดต่อชักนำให้รู้จักกันสื่อคือเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆอาจจะเป็นวัสดุเครื่องมือหรือกิจกรรมและวางแผนในเนื้อหาของหลักสูตรต่างๆสื่อเป็นพาหะที่จะนำสารหรือความรู้ไปยังผู้เรียน สื่อทำให้เข้าถึงบทเรียนได้ง่ายขึ้น

ทฤษฎีของบรูเนอร์ (Bruner)

ทฤษฏีเกี่ยวกับการสอนของบรูเนอร์
( Bruner’s Theory of Instruction)
Jerome S. Bruner เป็นผู้ที่มีความเห็นว่าในการจัดการเรียนการสอนนั้น ครูสามารถช่วยจัดประสบการณ์เพื่อช่วยให้เด็กเกิดความพร้อมได้ โดยไม่ต้องรอให้เด็กพร้อมตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นการเสียเวลานั้นหมายความว่าตามความคิดเห็นของบรูเนอร์แล้ว ความพร้อมเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดเร็วขึ้นได้
1.หลักการสำคัญ
   บรูเนอร์ได้เสนอว่าในการจัดการศึกษานั้น ควรที่จะได้คำนึงถึงทฤษฏีพัฒนาการว่าเป็นตัวเชื่อมระหว่าง ทฤษฏีความรู้ และทฤษฏีการสอน ( A theory of development must be link both to a theory of instruction) ซึ่งหมายความว่า ทฤษฏีพัฒนาการจะเป็นตัวกำหนดเนื้อหา (knowledge) และวิธีการสอน (instruction)ในการที่จะนำเนื้อหาใดมาสอนเด็กนั้นควรพิจารณาดูว่าในขณะนั้นเด็กมีพัฒนาการอยู่ในระดับใด มีความสามารถเพียงใด เราก็ปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับความสามรถของเด็กที่จะเรียนหรือที่จะรับรู้ได้ โดยใช้วิธีการให้เหมาะสมกับเด็กในวัยนั้น ดังนั้นเราก็สามรถสอนให้เด็กเกิดความพร้อมได้โดยไม่ต้องรอ ดังที่บรูเนอร์ได้กล่าวว่า “เราจะสามารถสอนวิชาใดๆก็ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้วิธีการที่เหมาะสมให้กับเด็กคนใดคนหนึ่งในระดับอายุใดก็ได้...” any subject can be taught effectively in some intellectually honest formto any child at any stage of development (1960)
ซึ่งความพร้อมในที่นี้ของบรูเนอร์หมายถึงความสามารถที่เด็กจะเรียนทักษะอย่างง่ายๆได้ก่อนซึ่งทักษะนี้เป็นพื้นฐานของทักษะที่ยากต่อไป ซึ่งบรูเนอร์ได้กล่าวไว้ว่า...one teaches readiness or provides opportunities for its nurture; one does not simply wait for it. Readiness, in these terms, consists of mastery of those simple skills that permit one to reach higher skills’
บรูเนอร์มองเห็นว่าในการจัดการศึกษานั้น ควรที่จะทำให้เนื้อหาวิชามีความต่อเนื่องกัน ถ้าเราทราบว่าเนื้อหาวิชาใดเป็นสิ่งจำเป็นที่เด็กจะต้องเรียน หรือจะต้องใช้เมื่อตอนโต ก็ให้รีบนำเนื้อหาวิชานั้นมาสอนให้เด็กตั้งแต่ที่เขายังเล็กๆ โดยที่ปรับเนื้อหาวิชานั้นให้เหมาะกับความสามารถในการคิด หรือการรับรู้ของเด็ก หรือใช้ภาษาที่เด็กจะเข้าใจได้ ดังนั้น เราก็สามารถนำเนื้อหาวิชาใดๆมาสอนกับเด็กในระดับอายุเท่าใดก็ได้ ถ้ารู้จักใช้วิธีการที่เหมาะสม
ซึ่งจากความคิดนี้ได้เสนอว่าในการจัดการเรียนการสอนควรมีลักษณะเป็น “spiral curriculum” คือ การจัดเอาวิชาให้มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ และมีความลึกซึ่งซับซ้อนและกว้างขวางออกไปตามประสบการณ์ของผู้เรียน เรื่องเดียวกันอาจเรียนตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์หรือฟิสิกส์ก็เรียนได้ทั้งสิ้น เช่น เรื่องเกี่ยวกับ “เซ็ท” เด็กประถมก็เรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ในลักษณะที่เป็นรูปธรรม นิสิตในมหาวิทยาลัยก็เรียนเรื่องนี้ แต่ในลักษณะที่เป็นนามธรรมที่ลึกซึ้งเหมาะสมกับระดับของผู้เรียน สำหรับวิชาฟิกสิกส์ บรูเนอร์ได้ยกตัวอย่างเกี่ยวกับ “ Snell’s law” ซึ่งเป็นกฎว่าด้วยเรื่อง “แรงกดของแสง” ซึ่งเขาได้ยกตัวอย่างเกี่ยวกับการถ่ายรูปว่า การทีถ่ายรูปติดนั้นเป็นเพราะแรงกดจากแสง หรือว่าไม่เกี่ยวข้องกับแรงกดจากแสงเลย
บรูเนอร์กล่าวว่าเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนอย่างนี้สามารถอธิบายให้เด็กอายุ 7 ขวบ เข้าใจได้ และเขาได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยใช้ลูกบอลสองลูกเพื่อที่จะอธิบายว่าถ้าวัตถุที่เคลื่อนที่ไปกระทบวัตถุที่นิ่ง มั่นจะผ่านไปด้วยแรงซึ่งเนื่องมาจากอัตราเร็วที่ไปกระทบวัตถุนั้นๆนอกจากนั้นบรูเนอร์กล่าวว่าการที่เขากล้ายืนยันว่าเด็กเล็กๆ ก็สามารถเรียนเกี่ยวกับกฎของ Snell law wfhoyho เพราะเขาเคยพบในวัยเด็ก preoperation ซึ่งมีคำถามเกี่ยวกับการสร้าง “กังหันรมแสง” เพื่อวัดแรงกดจากแสงว่า กังหันนั้นควรจะเป็น “กังหันร้อน” หรือ “กังหันเย็น” ในเมื่อแสงจากดาวนั้นเย็น ( Hall, 1970)

2.ความคิดของบรูเนอร์เกี่ยวกับทฤษฎีพัฒนาการ
    ทฤษฎีพัฒนาการของบรูเนอร์ เป็นทฤษฎีที่คู่ขนานกับทฤษฎีพัฒนาการของเปียเจท์ โดยที่
บรูเนอร์ศึกษาค้นคว้าโดยที่ยึดขั้นต่างๆ ของพัฒนาการของเปียเจท์เป็นหลัก
บรูเนอร์ได้เสนอว่า พัฒนาการทางสติปัญญาของคนประกอบด้วย 3 ลักษณะ คือ
1. Enactive representation ซึ่งเปรียบได้กับ sensorimoter ของเปียเจท์
2. Iconic representation ซึ่งเปรียบได้กับ concrete operations ของเปียเจท์
3. Symbolic representation ซึ่งเปรียบได้กับ formal operations ของเปียเจท์

3.ข้อแตกต่างระหว่างทฤษฎีของเปียเจท์และบรูเนอร์
    1. เปียเจท์มองเห็นว่าพัฒนาการทางสมองของเด็กมีขั้นตอนซึ่งขึ้นอยู่กับอายุ กำหนดลงไปเลยว่าเด็กในวัยใดจะมีพัฒนาการทางสมองในเรื่องใด บรูเนอร์มิได้คำนึงถึงอายุ เห็นว่ากิจกรรมต่างๆที่เด็กทำอันสืบเนื่องมาจากพัฒนาการทางสมองที่เกิดในช่วงแรกของชีวิต คนก็ยังนำไปใช้ในการแก้ปัญหาในช่วงหลังๆ ของชีวิตอีกเช่นกัน มิได้แบ่งเป็นช่วงๆ ดังเช่นของเปียเจท์
    2. เปียเจท์คำนึงถึงพัฒนาการทางสมองในแง่ของความสามารถในการกระทำสิ่งต่างๆ ในแต่ละวัย แต่บรูเนอร์คำนึงถึงในแง่ของกระบวนการ (process) ที่ต่อเนื่องไปตลอดชีวิต
3. บรูเนอร์เน้นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม ว่าสิ่งแวดล้อมบางอย่างจะทำให้พัฒนาการทางสมองช้าลงหรือหยุดชะงักลง และสิ่งแวดล้อมบางอย่างจะช่วยให้พัฒนาการทางสมองเป็นไปอย่างรวดเร็ว

4.พัฒนาการทางสมองของบรูเนอร์
   เน้นที่การถ่ายทอดประสบการณ์ด้วยลักษณะต่างๆดังนี้
    1.Enactive representation
ตั้งแต่แรกเกิดจนอายุประมาณ 2 ขวบ เป็นช่วงที่เด็กแสดงให้เห็นถึงความมีสติปัญญาด้วยการกระทำ และการกระทำด้วยวิธีนี้ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เป็นลักษณะของการถ่ายทอดประสบการณ์ด้วยการกระทำซึ่งดำเนินต่อไปตลอดชีวิต มิได้อยุดอยู่เพียงในช่วงอายุใดอายุหนึ่ง
บรูเนอร์อธิบายในแง่ที่ว่า เด็กใช้การกระทำแทนสิ่งต่างๆเพื่อแสดงห้เห็นถึงความรู้ความเข้าใจ เขาได้ยกตัวอย่างจากการศึกษาของเปียเจท์ ในกรณีที่เด็กเล็กๆนอนอยู่ในเปลและเขย่ากระดิ่งเล่น ขณะที่เขย่าบังเอิญทำกระดิ่งตกข้างเปล เด็กจะหยุดนิดหนึ่งแล้วยกมือขึ้นดู เด็กทำท่าประหลาดใจและเขย่ามือเล่นต่อไป
จากการศึกษานี้บรูเนอร์ให้ข้อแนะว่า การที่เด็กเขย่ามือต่อไปโดยที่ไม่มีกระดิ่งนั้น เพราะเด็กคิดว่ามือนั้นคือกระดิ่ง และเมื่อเขย่ามือก็จะได้ยินเสียงเหมือนเขย่ากระดิ่ง นั้นคือเด็กถ่ายทอดสิ่งของ (กระดิ่ง) หรือประสบการณ์ ด้วยการกระทำ ตามความหมายของบรูเนอร์
เกี่ยวกับเรื่องนี้บรูเนอร์ได้ให้ความเห็นว่า ในชีวิตประจำวันของเรานั้นบางครั้งจะพบว่าคนโต ยังใช้วิธีการแก้ปัญหาด้วยการกระทำซึ่งให้ผลดีกว่าการอธิบายด้วยคำพุด เช่น การสอนคนให้ขี่จักรยาน หรือเล่นเทนนิส หรือการกระทำอื่นๆอีกหลายอย่าง เราจะพบว่าวิธีที่ดีที่สุดคือ แสดงให้ดูเป็นตัวอย่างซึ่งจะได้ผลดีกว่าการอธิบายเพราะเราจะพบว่าเป็นการยากเหลือเกินที่จะอธิบายให้ฟังเป็นขั้นตอนและบางครั้งก็ไม่สามารถหาคำพูดมาอธิบายได้ เพื่อให้คนมองเห็นภาพแต่ถ้าเรากระทำให้ดู (acting) โดยมิต้องใช้คำพูดอธิบาย ผู้เรียนจะเข้าใจทันที ดังนั้น บรูเนอร์จึงมิได้แบ่งพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจให้หยุดอยู่เพียงในระยะแรกของชีวิตเท่านั้น เพาระถือว่าเป็นกระบวนการต่อเนื่อง คนจะนำมาใช้ในช่วงใดของชีวิตก็ได้
    2. Iconic representation
พัฒนาการทางความคิดในขั้นนี้อยู่ที่การมองเห็นและการใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ
จากตัวอย่างของเปียเจท์ดังกล่าวแล้ว เมื่อเด็กอายุมากขึ้นประมาณ 2-3เดือน ทำของเล่นตกข้างเปลเด็กจะมองหาของเล่นนั้น ถ้าผู้ใหญ่แกล้งหยิบเอาไป เด็กจะหงุดหงิดหรือร้องไห้เมื่อมองไม่เห็นของ บรูเนอร์ตีความว่า การที่เด็กมองหาของเล่นและร้องไห้ หรือแสดงอาการหงุดหงิดเมื่อไม่พบของ แสดงให้เห็นว่าในวัยนี้เด็กมีภาพแทนในใจ (iconic representation) ซึ่งต่างจากวัย enactive เด็กคิดว่าการสั่นมือกับการสั่นกระดิ่งเป็นของสิ่งเดียวกัน เมื่อกระดิ่งตกหายไป ก็ไม่สนใจ แต่ยังคงสั่นมือต่อไป
การที่เด็กสามารถถ่ายทอดประสบการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆด้วยการมีภาพแทนในใจ แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจซึ่งจะเพิ่มขึ้นตามอายุ เด็กโตจะยิ่งสามารถสร้างภาพในใจได้มากขึ้น เช่น การทดลองของบรูเนอร์ (1964) กับเด็กวัย 5-7 ขวบโดยให้จัดเรียงลำดับแก้วซึ่งมีขนาดต่างๆกัน 9 ใบ
การทดลอง
ครั้งแรกบรูเนอร์ให้เด็กดูภาพการจัดแก้ว 9 ใบ ดังแสดงในรูปต่อจากนั้นหยิบแก้วออกทีละแถว และให้เด็กจัดเองให้เหมือนเดิมจากนั้นหยิบแก้วทั้ง 9 ใบออกจากตะแกรงและให้เด็กจัดให้เหมือนเดิมปรากฏว่าเด้ก 5 ขวบ และ 7 ขวบ สามารถทำได้ ความแตกต่างระหว่างเดก 2 วัยนี้คือ เมื่อบรูเรนอร์ให้เรียงสลับ โดยให้เริ่มจากใบใหญ่ให้อยู่ทางซ้ายมือ ปรากฏว่าเด็กวัย 5 ขวบเริ่มต้นได้อย่างถูกต้อง แต่แล้วก็งง ในที่สุดจัดออกมาเหมือนแบบที่ให้ดูตั้งแต่แรก ส่วนเด็กวัย 7 ขวบนั้นสามารถเรียงสลับได้อย่างถูกต้อง บรูเนอร์จึงสรุปว่า การเกิดภาพในใจซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรู้ความเข้าใจนั้นจะเพิ่มขึ้นตามอายุทั้งนี้เพราะเด็กรู้จักที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ออกมาเป็นสัญลักษณ์ ( symbolic)
3. Symbolic representation
หมายถึง การถ่ายทอดประสบการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆโดยการใช้สัญลักษณ์หรือภาษา ซึ่งภาษาเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความคิด ขั้นนี้เป็นขั้นที่บรูเนอร์ถือว่าเป็นขั้นสูงสุดของพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจ เด็กสามารถคิดหาเหตุผล และในที่ สุดจะเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรมได้ และสามารถแก้ปัญหาได้ บรูเนอร์มีความเห็นว่าความรู้ความเข้าใจภาษามีพัฒนาการขึ้นมาพร้อมๆกัน
สรุป
บรูเนอร์มีความเห็นว่า คนทุกคนจะมีพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจ โดยผ่านกระบวนการที่เรียกว่า acting, imaging และ Symbolizimg เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องไปตลอดชีวิต มิใช่ว่าเกิดขึ้นเพียงช่วงใดช่วงหนึ่งในระยะแรกๆของชีวิตเท่านั้น

5. ความคิดเห็นของบรูเนอร์ที่มีผลต่อการศึกษา
   ความคิดของบรูเนอร์มีอิทธิพลต่อการจัดการศึกษาเช่นเดียวกับเปียเจท์
    1. ทำให้ตระหนักถึงการจัดวัสดุอุปกรณ์ที่เหมาะสมในการสอนให้กับเด็กเล็กๆ โดยเฉพาะวัสดุอุปกรณ์ประเภทกระตุ้นการกระทำ ( enactive ) และประเภทที่รับรู้ง่ายเพื่อช่วยสร้างภาพในใจ ( image หรือ iconic )
    2. เน้นความสำคัญของผู้เรียน ว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีบทบาท ได้คิดค้นกระทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง 
( active ) ดังนั้น จึงมีการส่งเสริมให้มีการเรียนแบบ discovery learning
    3. ทำให้เข้าใจความคิดของเด็ก ( แม้จะไม่ละเอียดถี่ถ้วนเท่าเปียเจท์ )
    4. บรูเนอร์เป็นผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน เพื่อจะพัฒนาสติปัญญาของเด็กมากว่าเปียเจท์ เป็นผู้ที่เห็นว่า เราจะสามารถจัดการสอนเนื้อหาวิชาใดๆให้เด็กในช่วงใดของชีวิตได้ถ้ารู้จักเลือกวิธีการที่เหมาะสม จากความเชื่อเช่นนี้ ทำให้เขาพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่าเด็กเล็กๆ สามารถเรียนเนื้อหาวิชาต่างๆ โดยการมีประสบการณ์กับการสอนชนิด nonverbal โดยไม่ต้องใช้คำพูดอธิบาย ดังนั้น จึงได้สร้างชุดการเรียนชนิดที่เรียกว่า “ nonverbal instruction packages “ ขึ้นสอน concept ต่างๆให้กับเด็กเล็กๆ
    5. บรูเนอร์มีความเห็นว่าในการจัดการเรียนการสอนนั้น จะต้องคำนึงถึงทฤษฏีความรู้ความเข้าใจ และทฤษฏีการสอน เขาได้เน้น interaction ระหว่างผู้สอนและผู้เรียนโดยเน้นให้เห็นว่าพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจของนักเรียนจะเป็นไปได้ด้วยดีเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับการจัดสิ่งแวดล้อมของครู
6. ขณะนี้ บรูเนอร์กำลังศึกษาวิจัยกับเด็กเล็กเกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติของทักษะที่ง่ายที่สุดซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำหรับการเรียนรู้ในขั้นต่อไป

6.หลักการสอน
   บรูเนอร์ ( 1966 ) กล่าวว่า ทฤษฏีการสอนใดๆ ก็ตามควรประกอบด้วยคุณลักษณะ 4ประการ ซึ่งข้อเสนอแนะของเขามีคุณค่าอย่างใหญ่หลวงต่อการวางแผนการสอนในปัจจุบัน
    1. ทฤษฏีการสอนควรจะบอกให้ทราบว่าเด็กวัยก่อนเรียนควรจะมีประสบการณ์อะไรที่จะเป็นพื้นฐานสำหรับการเรียนในโรงเรียนต่อไปเพื่อครูจะได้นำประสบการณ์นั้นมาใช้ในการสอน
    2. ทฤษฏีการสอนควรบอกให้ทราบว่า จะจัดโครงการของความรู้อย่างไรที่จะทำให้เด็กเข้าใจโดยง่าย ซึ่งในการจัดนั้นจะต้องคำนึงถึงลักษณะทั้ง 3 ของการแก้ปัญหาของเด็กด้วย คือ 1) การใช้การกระทำ 2) การสร้างภาพในใจ และ 3) การใช้สัญลักษณ์
    3. ทฤษฏีการสอนควรจะบอกถึงลำดับขั้นของการเสนอเนื้อหาและใช้วัสดุอุปกรณ์ ซึ่งต้องคำนึงถึงลักษณะทั้ง 3 ของการแก้ปัญหาของเด็กดังกล่าวด้วย ซึ่งบรูเนอร์ได้เสริมว่าไม่มีลำดับขั้นใดจะมีประสิทธิภาพสำหรับเด็กทุกคน ครูจะต้องคำนึงถึงทั้งลักษณะของวัสดุอุปกรณ์นั้นๆ และความแตกต่างระหว่างบุคคล
    4. ทฤษฏีการสอนควรจะบอกว่าจะใช้การให้รางวัลและการลงโทษอย่างไรและเมื่อไร ซึ่งถือว่าเป็นจุดสำคัญ
ท้ายสุดที่บรูเนอร์ได้สรุปให้เห็นว่า พัฒนาการทางสติปัญญานั้นขึ้นอยู่กับสัมพันธภาพระหว่างเนื้อหาสาระ ครูและผู้เรียน มิใช่เป็นเพียงการให้ผู้เรียนจำเนื้อหาสาระได้เท่านั้น แต่ครูจะต้องช่วยจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้รับเนื้อหาสาระซึ่งทำให้พัฒนาความรู้ใหม่

ครั้งที่ 2 06/24/2010


1.อาจารย์ได้อธิบายเกี่ยวกับสื่อเรื่งราวเกี่ยวกับสื่อ เช่น จักรยาน บล็อกเป็นสื่อเป็นจุดหมายปลายทางการเรียนสื่อโดยการทำบล็อก และอาจารย์ได้

พูดสรุปถึงนิยามสื่อคืออะไร

2.อาจารย์ให้แบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน และตั้งคำถามเกี่ยวกับเด็กปฐมวัยและให้เพื่อนในกลุ่มช่วยกันคิดคำตอบและแบ่งหน้าที่กันว่าใครจะเป็นประธาน

รองประธาน กรรมการและเลขา มีการแบ่งงานกันภายในกลุ่ม

3.อาจารย์ได้ให้การบ้านให้หาทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยอ่านและโพสต์ใส่บล็อค

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เริ่มเรียนวันแรกครั้งที่1 06/17/2010

วันนี้เปิดเทอมเรียนเป็นวันแรกอาจารย์ได้สั่งงานให้ทำ

1.ทำสมุดเล่มเล็กๆเป็นชื่อ

2.ให้คิดกันตั้งชุมนุมการศึกษาปฐมวัยและเลือกชมรมเอกเพราะจะได้มีเงินหมุนเวียนในเอก

3.อาจาร์ให้สร้างบล็อคส่งงานแทนการใช้กระดาษและลิงค์ของเพื่อนต่อๆกันมา